แสงจากดวงอาทิตย์ ประกอบไปด้วยรังสีในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายชนิด เช่น รังสีแกมมา
รังสีเอ็กซ์รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) รังสีที่มองเห็นได้และรังสีอินฟราเรด เป็นต้น
โดยรังสีที่มีผลต่อร่างกายของเรามาก คือ รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นคลื่นแสงที่มองไม่เห็น
มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่ให้แสงสว่าง รังสีอัลตราไวโอเลตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- 1. รังสีคลื่นยาว (ยูวีเอ - UVA)
2. รังสีคลื่นสั้น(ยูวีบี - UVB)
รังสีอัลตราไวโอเลตมีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ช่วยสร้างวิตามินดี (Vitamin D) ซึ่งการสร้างวิตามินดีปริมาณที่เพียงพอนั้น
ต้องการแสงแดดเพียงแค่ 10 –15 นาทีต่อวันเท่านั้น
หากได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไป จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย เกิดผิวไหม้และอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้
จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่แดดจัด หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้การใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดจะช่วย
ป้องกันผิวของเราจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้
การหลีกเลี่ยงแสงแดด
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลาที่แสงแดดจัดจ้า เช่นในเวลา 10.00 น. - 16.00 น. ถ้าไม่สามารถ
หลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรถูกแสงแดดในระยะเวลานี้นานเกิน 20 นาทีรวมถึงวันที่ครึ้มฟ้าครื้มฝนก็ควรหลีกเลี่ยงการ
ทำกิจกรรมนอกบ้านระหว่างเวลา 10.00 น.-16.00 น.เช่นกัน เพราะจะทำให้เราได้รับไอแดดมากถึงร้อยละ 80
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้แสงสะท้อนจากทราย น้ำและคอนกรีต เพราะจะทำให้ผิวหนังได้รับแสง
ปริมาณมากขึ้น รวมทั้ง ผู้ที่รับประทานยา หรือใช้ยาทาบางชนิด และการใช้เครื่องสำอางบางชนิด อาจทำให้เกิดการ
แพ้แสงได้เมื่อถูกแดด จึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังด้วย การอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มิดชิด รถยนต์ร่มไม้ชายคา
การสวมเสื้อผ้า หมวก ร่ม ตลอดจนการใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ก็เป็นทางเลือกสำหรับหลีกเลี่ยงอันตราย
จากแสงแดดได้
เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด
การใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดมีจุดประสงค์เพื่อลดปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลตที่จะมาถึงผิวหนังโดยการ
สะท้อนหรือดูดกลืนรังสีดังนี้
- 1. ป้องกันโดยการสะท้อนโดยการใช้สารที่เป็นตัวสะท้อนแสง(Physical sunscreen) เช่น
- - ซิงก์ออกไซด์ (Zinc oxide)
-ไตตาเนียม ไดออกไซด์ (Titanium dioxide)
- แมกนีเซียม คาร์บอเนต (Magnesium carbonate)
- และ แมกนีเซียม ออกไซด์(Magnesium oxide)
กลุ่มนี้เนื้อครีมจะมีสีขุ่น จึงไม่เป็นที่นิยม เพราะหน้าจะดูขาวไม่เป็นธรรมชาติและมีข้อเสียคือเหนอะหนะไม่น่าใช้
และมักจะอุดรูขุมขนทำให้เป็นผดหรือรูขุมขนอักเสบได้แต่โอกาสที่จะทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองน้อยกว่าชนิด
ดูดกลืนแสง
2. ป้องกันโดยการดูดกลืนแสง โดยใช้สารดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลต ( Chemical sunscreen) ได้แก่
- - พาบา ( PABA )
- แอนทรานิเลต ( Anthranilate )
- เบนโซฟีโนน ( Benzophenone )
- และซินนาเมต ( Cinnamate )
แต่มีโอกาสซึมเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองได้ เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดกลุ่มนี้ส่วนใหญจะเป็น
เครื่องสำอางควบคุม
คุณสมบัติของสารป้องกันแสงแดด
ปัจจุบันเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดมักใช้สารหลายชนิดร่วมกัน เพื่อป้องกัน รังสีคลื่นยาว(ยูวีเอ) และรังสีคลื่นสั้น(ยูวีบี)
แต่ประสิทธิภาพของสารป้องกันแสงแดดจะพิจารณาจากประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดจาก รังสียูวีบี เท่านั้น โดยใช้ค่า
SPF ( sun protective factor) ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ที่มีค่า SPF = 2 หมายความว่า
เมื่อทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดตัวนี้แล้วจะป้องกันผิวไหม้แดดเป็นเวลานาน 2 เท่า เมื่อเทียบกับ ตอนไม่ได้ทา
เช่น ถ้าไม่ทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด แล้วออกแดดเป็นเวลา 10 นาที จึงเริ่มมีอาการแดงที่ผิว ซึ่งเป็นอาการของผิวไหม้แดด
หากทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดชนิดนี้ แล้วต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีผิวจึงเริ่มไหม้แดด จะเห็นได้ว่ายิ่งมีค่า SPF สูงขึ้น
ประสิทธิภาพในการกันแดดก็จะสูงขึ้นด้วย คือ มีฤทธิ์ป้องกันยาวนานขึ้น
การเลือกซื้อเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด
เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีจำหน่าย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- 1. เครื่องสำอางควบคุม เป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด ที่กระทรวง
สาธารณสุขกำหนดเป็นสารควบคุม จำนวน 19 ชนิด ซึ่งสามารถศึกษาได้จากรายละเอียดตามบัญชีท้าย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่8 (พ.ศ.2536) และกำหนดอัตราส่วนสูงสุดที่ให้ใช้สำหรับสารแต่ละชนิดด้วย
ผู้ผลิต ผู้นำเข้าเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดที่เป็นสารควบคุม ต้อง
แจ้งรายละเอียดต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก่อนผลิต หรือนำเข้า และที่ฉลากต้องแสดงข้อความ
“เครื่องสำอางควบคุม ” และแสดงคำเตือน ดังนี้
- - เก็บให้พ้นแสงแดด
- หากเกิดอาการคัน ระคายเคืองหรือมีเม็ดผื่นแดง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
หากพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใด มีปริมาณสารควบคุมเกินกว่าอัตราสูงสุดที่กำหนดให้ใช้ถือว่าเป็นเครื่องสำอางที่
มีวัตถุห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ไม่ปลอดภัยในการใช้กฎหมายห้ามไม่ให้ผู้ใดผลิตเพื่อขาย นำ
เข้าเพื่อขาย หรือขายเครื่องสำอางเหล่านี้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
2. เครื่องสำอางทั่วไป เป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่ประกอบด้วยสารป้องกันแสงแดดชนิดที่ไม่ได้ประกาศ
เป็นสารควบคุม เช่น ไตตาเนียม ไดออกไซด์และ ซิงก์ออกไซด์เป็นต้น
เครื่องสำอางทั้งสองกลุ่ม จะต้องมีฉลากภาษาไทย แสดงชื่อและประเภทของผลิตภัณฑ์ชื่อและปริมาณส่วน
ประกอบสำคัญ ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ปริมาณสุทธิและ
คำเตือน (ถ้ามี)
การเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด
โดยทั่วไปการหลีกเลี่ยงแสงแดดเป็นสิ่งดีที่สุด ในกรณีที่ต้องการใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด มีข้อแนะนำใน
การเลือกใช้ดังนี้
- 1. เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีประสิทธิภาพจะต้องบอกค่า SPF เช่น SPF 8 , 12 , 15 , 25
หรือ 30 เป็นต้น การเลือกใช้ขึ้นกับจุดมุ่งหมาย เช่น ผู้ที่ต้องอยู่ในแดดจ้าเป็นเวลานานๆ ควรเลือกชนิดที่มี
SPF สูง เช่น SPF 15 หรือมากกว่า สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางทาผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสาร เอ เอช เอ
ต้องใช้เครื่องสำอาง ป้องกันแสงแดด ควบคู่ไปด้วยเนื่องจาก เอ เอช เอ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น
2. เลือกดูที่ฉลากระบุว่ากันน้ำหรือไม่ เพราะกรณีต้องการป้องกันแสงแดดขณะว่ายน้ำควรเลือกชนิดที่กันน้ำ
(water resistance) ถ้าใช้ขณะอากาศร้อนมากเหงื่อออกง่าย หรือป้องกันแสงแดดเมื่อเล่นกีฬา ควรเลือก
ชนิดทนต่อเหงื่อ (sweat resistance)
3. ควรเลือกชนิดที่ฉลากระบุว่าสามารถป้องกันรังสียูวีเอหรือยูวีบีหรือป้องกันได้ทั้งสองอย่าง เพราะรังสียูวีเอทำ
ให้ผิวเหี่ยวย่น รังสียูวีบีทำให้ผิวไหม้แดดและทำให้เกิดมะเร็งของผิวหนัง
ข้อแนะนำการใช้
- - ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อให้เนื้อผลิตภัณฑ์เคลือบติดที่ผิวได้ดีก่อนที่
จะไปถูกแสงแดด สารป้องกันแสงแดดที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์จะได้ปกป้องผิวไม่ให้เป็นอันตรายจากแสงแดดได้ดียิ่งขึ้น
- ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ให้ทั่วบริเวณที่จะต้องถูกแสงแดด ยกเว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบริม
ฝีปาก หากต้องการปกป้องริมฝีปากในขณะออกแดด สามารถใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดได้
- ในกรณีเล่นกีฬากลางแจ้ง หรืออยู่กลางแจ้งมีเหงื่อออกหรือว่ายน้ำต้องทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ซ้ำทุก 1 ชั่วโมง
- ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดให้เหมาะกับการแต่งหน้า ถ้าเป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดประเภทสารที่
เป็นตัวสะท้อนแสง( Physical sunscreen ) ควรทาหลังสุดเพื่อไม่ให้ขัดขวางเครื่องสำอางหรือสิ่งที่ทา
ตามหลังได้ส่วนประเภทสารดูดกลืนแสง( Chemical sunscreen ) ควรทาก่อนครีมชนิดอื่นๆ เพื่อให้
สารดูดกลืนแสงจับยึดกับผิวได้ช่วยให้ประสิทธิภาพของการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์ดี
ผลเสียของเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด
เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่ทำจากสารเคมีที่มีคุณสมบัติดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลต อาจทำให้เกิดอาการคัน
ยุบยิบและแสบแปลบๆ บางครั้งทำให้เกิดการแพ้ที่ผิวหนังหรือแพ้แสงแดด จะเป็นมากขณะถูกแดด ดังนั้นควร
ทดสอบการแพ้ก่อนใช้โดยทาเครื่องสำอางที่ต้องการทดสอบลงบนผิวบริเวณข้อพับด้านใน หรือผิวบริเวณติ่งหูทิ้ง
ไว้ 24 - 48 ชั่วโมง โดยไม่ต้องล้างออก หากมีอาการผิดปกติใดๆแสดงว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดนั้น ห้ามใช้เครื่อง
สำอางนั้น แต่ถ้าไม่มีอาการผิดปกติก็สามารถใช้ได้อย่างไรก็ตามเมื่อใช้ไปแล้วอาจเกิดการแพ้ในเวลาต่อมาได้การ
ใช้เครื่องสำอางชนิดใหม่ๆ จึงต้องหมั่นสังเกตทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย